คุณค่าของมนุษย์มักจะวัดจากสิ่งที่ผู้คนคิดเกี่ยวกับคุณ คุณค่าในตนเองของคุณมักจะเชื่อมโยงกับพลังภายในความสัมพันธ์ ยิ่งคุณอยู่ในโครงสร้างอำนาจมากเท่าไร คุณก็ยิ่งมีค่าในสายตาของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น มีอำนาจมากกว่าก็อยู่บนสุด และอำนาจน้อยที่สุด – ก็อยู่ต่ำสุด

46เกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด 47พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ 48แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

ความกระหายในคุณค่าตนเอง และความยิ่งใหญ่

ใน ลูกา 9:46 การโต้เถียงกันในหมู่สาวก
ใน ลูกา 9:46 พวกเขาโต้เถียงกันเรื่องความยิ่งใหญ่ การโต้แย้ง = ความคิดที่เริ่มต้นด้วยความคิด นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับความคิดของคุณ ใครๆก็อยากเก่ง คุณค่านั้นรู้สึกลึกลงไปในจิตวิญญาณของเรา สดุดี 8:5 เตือนเราว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย และสวมมงกุฎเราด้วยความสง่าราศีและเกียรติ สดุดี 57:8 “ปลุกจิตวิญญาณของเรา (คําว่าพระสิริ – ภาษาฮีบรู) คุณและผมอยู่ในการแสวงหาพระสิริ ความสง่าราศี และเราจะไม่มีวันรู้สึกดีพอ เพราะเราต่อสู้กับ คุณค่าในตนเอง เราจึงต้องควบคุมตนเองได้เนื่องจากความไม่มั่นคงภายใน แต่เราควบคุมชีวิตเราไม่ได้

ปิรามิดแห่งอํานาจ: ยิ่งคุณไปสูงเท่าไหร่คุณก็ยิ่งต้องดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างของการต่อสู้กับอำนาจ: คาอินและอาเบล คาอิน แปลว่า หอก และ อาเบล แปลว่า ลมหายใจ คาอินหมายถึงความแข็งแกร่งและในเรื่องนี้เขาต้องการที่จะดีกว่า อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงพอใจกับอาเบิล

ลูกา 9:49-50

49ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์และพวกเราพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”
50พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้ต่อต้านท่าน ก็อยู่ฝ่ายท่าน”

ในข้อนี้เผยให้เห็นหัวใจของมนุษย์ว่า “ฉันสําคัญถ้าฉันแข็งแกร่งกว่าหรือใหญ่กว่า”

หมู่บ้านสะมาเรียปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด

51เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 52และพระองค์ทรงส่งคนไปล่วงหน้า พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับพระองค์ 53แต่ผู้คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54เมื่อยากอบกับยอห์นสาวกของพระองค์เห็นเช่นนี้ก็ทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาทำลายพวกเขาหรือไม่?” 55แต่พระเยซูทรงหันมาตำหนิพวกเขา 56แล้ว
พวกเขาพากันไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง

คุณอยากเป็นลูกแกะที่นำโดยสิงโตหรือสิงโตที่นำโดยลูกแกะมากกว่ากัน?

วิวรณ์ 7:17 เพราะพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะเป็นพระผู้เลี้ยงของเขา พระองค์จะทรงนำ

พวกเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา”

พระเยซูทรงมีความยิ่งใหญ่ต่างกันออกไป

ลูกา 9:47-48.

47พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ 48แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

ถ้าคุณอยากอยากเป็นใหญ่ คุณต้องต่ำต้อยที่สุด

มัทธิว 18:3-4 และตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ 4ฉะนั้นผู้ใดถ่อมตัวลงเป็นเหมือนเด็กคนนี้ก็เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

ถ้าคุณไปร่วมงานเครือข่าย คุณจะสร้างเครือข่ายกับเด็กตัวเล็กๆ หรือไม่ แล้วถ้าเขาเป็นลูกของลูกคุณล่ะ คุณอาจคิดแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง! ผมไม่โทษคุณเพราะมันเป็นการต่อสู้ทั่วไปสําหรับคนจํานวนมาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่ต้องการปีนขึ้นไปบนพีระมิดแห่งอํานาจ

ใครที่อยากเป็นคนแรก คุณต้องเป็นคนสุดท้าย

มาระโก 9:35 “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง”

มัทธิว 20:25-28

25พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาพร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา 26แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้พวกท่าน 27และผู้ใดปรารถนาที่จะเป็นเอกต้องยอมเป็นทาสของพวกท่าน 28เหมือนกับที่บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก”

มัทธิว 23:5,11-12

ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนเพื่ออวดให้คนเห็น: 11ผู้เป็นใหญ่ที่สุดท่ามกลางท่านจะเป็นผู้รับใช้ท่าน 12เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น

แล้ว คุณค่าของผมมาจากไหน คุณค่าของผมมาจากคนที่ผมรับใช้ อย่ารับใช้คริสตจักร รับใช้พระเจ้าผ่านคริสตจักรเสมอ โปรดจําไว้เสมอว่า: อย่ารับใช้ตัวเอง แต่ให้รับใช้พระเจ้า รับใช้ผู้อื่น คุณค่าอยู่บนพื้นฐานของอาณาจักรแห่งค่านิยมของพระเจ้า พระเยซูทรงมองหาหัวใจแห่งความรักและคนส่วนใหญ่กําลังมองหาเมล็ดพันธุ์แห่งอํานาจ

ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรแห่งบาบิโลน (เนบูคัดเนสซาร์) และอาณาจักรของพระเยซู:

บาบิโลนยิ่งใหญ่ในสายตามนุษย์ พึ่งพาตนเอง คำพูดเป็นสิ่งสูงสุด ทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ พิชิตด้วยกำลัง ห่างหายไปนาน….

อาณาจักรของพระเยซูยิ่งใหญ่ในพระเนตรของพระเจ้า(ลูกา 1:15)ขึ้นอยู่กับพระเจ้า (สดุดี 62:7)พระวจนะของพระเจ้าเป็นสูงสุด (มัทธิว 5:19),พระเจ้าทรงทําให้คุณยิ่งใหญ่ (1โครินธ์ 15:27-28),ตรึงบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ (2โครินธ์ 13
:4)ยังคงเติบโต (ลูกา 13:9)

ผมมักจะพบว่ากษัตริย์เนบูตัดเนซซาร์มีชีวิตที่ลําบากเพราะเขามีปัญหาในความฝัน คุณจะไม่มีวันเข้าใจคนที่คุณชื่นชมอาจมีชีวิตที่มีปัญหา ความยิ่งใหญ่สามารถมาจากความอ่อนแอได้จริงหรือ

มีหนังชื่อ “เทวดาหน้าสกปรก” มีผู้ชายสองคนที่เติบโตขึ้นมาในภูมิหลังที่มีปัญหาแต่พวกเขาไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน คนหนึ่งกลายเป็นอาชญากรและอีกคนหนึ่งกลายเป็นนักบวช หลายคนชื่นชมอาชญากรเพราะเขาเจ๋ง อย่างไรก็ตามเขาถูกจับกุมและกําลังจะถูกลงโทษด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า (โทษประหารชีวิต) เมื่อเขากําลังจะตายนักบวชขอให้เขากลัวและกรีดร้องก่อนเสียชีวิต อาชญากรปฏิเสธเพราะเขาต้องการที่จะเข็มแข็งและหยิ่งผยอง นักบวชบอกเขาว่าหากเขาสละศักดิ์ศรีแล้วเขาจะช่วยเด็กๆ ที่ชื่นชมเขา เด็กๆ จะไม่ใช้เส้นทางเดียวกันกับเขา ในที่สุดอาชญากรก็ตกลง

พระเยซูทรงสละความสง่าราศีของพระองค์เช่นกัน วิวรณ์ 5:6-9,12 กล่าวว่า:

และพวกเขาร้องเพลงใหม่ว่า:

จากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดก
ดูประหนึ่งว่าได้ถูกฆ่าแล้ว พระองค์ประทับยืนอยู่ตรงกลางพระที่นั่ง รายล้อมด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส พระองค์ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีตาเจ็ดดวงซึ่งเป็นวิญญาณทั้งเจ็ด
ของพระเจ้าที่ทรงส่งออกไปทั่วโลก 7พระเมษโปดกเสด็จเข้ามารับหนังสือม้วนจากพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง 8เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอมซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า 9และขับร้องเพลงบทใหม่ว่า
“พระองค์ทรงสมควรที่จะรับหนังสือม้วน
และเปิดผนึกตราของหนังสือนั้นออก
เพราะพระองค์ทรงถูกประหารแล้ว
และด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ทรงซื้อ
มนุษย์ทั้งหลายถวายแด่พระเจ้า
จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกหมู่ชน และทุกชาติ
10ทรงโปรดให้เขาทั้งหลายเป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตรับใช้พระเจ้าของเรา
และพวกเขาจะครอบครองโลก”
11แล้วข้าพเจ้ามองดูและได้ยินเสียงทูตสวรรค์นับแสนนับล้านมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งรายล้อมพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส 12ทูตสวรรค์เหล่านั้นขับร้องเสียงดังว่า
“พระเมษโปดกผู้ถูกประหาร
ทรงสมควรได้รับเดชานุภาพ ราชสมบัติ ปัญญา พลัง
พระเกียรติ พระสิริ และคำสรรเสริญ!”

เห็นว่าผู้สูงอายุกล่าวว่า “สิงโตแห่งยูดาห์” และสิ่งที่ยอห์นเห็นนั้นเป็น “ลูกแกะ” ช่างเป็นความจริงที่วิเศษอะไรเช่นนี้ ในวิวรณ์ มีการกล่าวถึง “ลูกแกะ” ตลอด ถ้าเรายอมสละศักดิ์ศรีของเรา เราก็สามารถช่วยบางคนให้รอดได้ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะไหลผ่านเรา

ใน 2 โครินธ์ 13:4 “เป็นความจริงที่ว่าพระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน”

พระคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนในความอ่อนแอของพระองค์ แต่ทรงฟื้นขึ้นมาในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เมื่อเราอ่อนแอและพึ่งพาพระเจ้า เราก็จะดําเนินชีวิตด้วยฤทธิ์อํานาจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ความยิ่งใหญ่มาจากความอ่อนแอ เราอยากที่จะเป็นเหมือนพระเยซู